ทำไมบางตัวแห้งสบาย บางตัวเหนียวหนึบ?

การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมไม่เพียงแค่ทำให้รู้สึกดี แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพของผิวหนังด้วย การจัดการความชื้นในเนื้อผ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งงานวิจัยล่าสุดได้เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดการความชื้นในรูปแบบต่างๆ ของผ้า

เคยรู้สึกเหนียวตัว ไม่สบายตัวเวลาเหงื่อออกเยอะๆ ไหมครับ? บางทีใส่เสื้ออยู่ดีๆ ก็รู้สึกอับชื้นขึ้นมาซะอย่างนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ตั้งแต่ชนิดของเส้นใยไปจนถึงวิธีการทอผ้า ล้วนส่งผลต่อความสบายในการสวมใส่ทั้งสิ้น ซึ่งมีงานวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ และผลที่ได้ก็น่าสนใจมากทีเดียว

เรื่องราวทั้งหมดนี้ เริ่มต้นจากการทดลองเพื่อหาคำตอบว่า “ผ้าแบบไหนกันแน่ ที่จัดการความชื้นจากเหงื่อได้ดีที่สุด?”

ยาวไป ไม่อ่าน! (สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านแบบสรุป)

เสื้อผ้าบางตัวแห้งสบายเพราะมีวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ในการผลิต ตั้งแต่การเลือกเส้นใยไปจนถึงเทคนิคการทอ

  • จุดเริ่มต้นที่ "เส้นใย": ผ้าใยผสมโพลีเอสเตอร์กับผ้าฝ้าย ระบายเหงื่อได้ดีกว่าผ้าใยผสมวิสโคสกับผ้าฝ้าย
  • "ความหนาของด้าย" ก็สำคัญ: เส้นด้ายที่บางกว่า จะช่วยให้ผ้าระบายความชื้นได้ดีกว่าเส้นด้ายที่หนา
  • ทอแน่นหรือทอหลวม: ผ้าที่ทอแน่นๆ จะช่วยดึงเหงื่อออกจากผิวได้ดีกว่าผ้าที่ทอหลวม
  • เทคนิคพิเศษเพื่อความแห้งไว: การทอด้วยด้ายคู่ หรือการเคลือบสารพิเศษบนผ้า ช่วยให้ผ้าแห้งเร็วขึ้นมาก

การเลือกเสื้อผ้าไม่ใช่แค่เรื่องแฟชั่น แต่คือการเลือก "เทคโนโลยี" เพื่อความสบายและสุขภาพผิวที่ดี การป้องกันตัวเองตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างเสื้อผ้า เป็นพื้นฐานสำคัญของความปลอดภัยในชีวิต…..จบ

สรุปเนื้อหาในรูปเดียว! (สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลา)

แบบละเอียด (สำหรับผู้อ่านที่ต้องการรู้รายละเอียด)

การเลือกเสื้อผ้าไม่ใช่แค่เรื่องแฟชั่น แต่คือการเลือก "เทคโนโลยี" เพื่อความสบายและสุขภาพผิวที่ดี การป้องกันตัวเองตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างเสื้อผ้า เป็นพื้นฐานสำคัญของความปลอดภัยในชีวิต

เสื้อผ้าที่ใส่แล้วรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายผิว โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว เป็นเรื่องที่หลายคนคงเคยเจอ แต่เคยนึกสงสัยกันไหมว่า ทำไมเสื้อบางตัวถึงแห้งไว ในขณะที่บางตัวกลับอมเหงื่อไว้จนรู้สึกไม่สบายตัว เรื่องนี้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ และมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด ความลับข้อแรกเริ่มต้นกันที่ชนิดของเส้นใยที่ใช้ทำผ้านั่นเอง

1. จุดเริ่มต้นที่ "เส้นใย"

ชนิดของเส้นใยนี่เองที่เป็นด่านแรกในการจัดการกับเหงื่อ มีงานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งในวารสารสมาคมสิ่งทอ (Journal of the Textile Association) จากประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองเพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัตินี้โดยเฉพาะ ผลการทดลองชี้ชัดว่า ผ้าที่ทำจากใยผสมระหว่างโพลีเอสเตอร์กับผ้าฝ้าย สามารถระบายความชื้นออกจากผิวได้ดีกว่าผ้าที่ทำจากใยผสมวิสโคสกับผ้าฝ้ายอย่างเห็นได้ชัด

พูดง่ายๆ คือ โพลีเอสเตอร์ช่วย "ผลัก" เหงื่อออกไป ในขณะที่วิสโคสอาจจะ "อม" ความชื้นไว้มากกว่า แต่แค่ชนิดของเส้นใยอย่างเดียวยังไม่พอ ยังมีเรื่องของขนาดเส้นด้ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

2. "ความหนาของด้าย" ก็สำคัญไม่แพ้กัน

เรื่องขนาดของเส้นด้ายก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลอย่างมาก การทดลองเดียวกันยังชี้ให้เห็นว่า ยิ่งเส้นด้ายที่นำมาทอผ้า ไม่ว่าจะเป็นโพลีเอสเตอร์หรือวิสโคส มีขนาดใหญ่หรือหนามากเท่าไหร่ ความสามารถในการจัดการความชื้นก็จะลดลงไปเท่านั้น

ในทางกลับกัน เส้นด้ายที่เล็กและบางกว่า จะช่วยให้ผ้าสามารถลำเลียงเหงื่อและความชื้นออกจากผิวหนังได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้เรารู้สึกแห้งสบายตัวกว่าเดิม เมื่อเลือกเส้นด้ายที่เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ส่งผลต่อความสบายในการสวมใส่ก็คือวิธีการทอผ้า

3. ทอแน่นหรือทอหลวม แบบไหนดีกว่า?

วิธีการทอผ้า หรือ "ความแน่น" ของเนื้อผ้า มีผลโดยตรงต่อการระบายอากาศและความสามารถในการนำความชื้นออกไป อาจจะฟังดูขัดกับความรู้สึกสักหน่อย แต่ผลการศึกษาพบว่าผ้าที่ถักทอด้วยความหนาแน่นสูง หรือมีห่วงการถักที่สั้นและชิดกัน จะสร้างช่องว่างขนาดจิ๋วจำนวนมากที่ช่วย "ดึง" เหงื่อออกจากผิวได้ดีกว่าผ้าที่ทอแบบหลวมๆ คล้ายกับมีท่อส่งน้ำขนาดเล็กๆ จำนวนมากช่วยกันทำงานนั่นเอง ทำให้ความชื้นไม่เกาะอยู่บนผิวหนังและระเหยไปได้เร็วขึ้น แต่เทคโนโลยีสิ่งทอยังไปได้ไกลกว่านั้นอีก ด้วยเทคนิคพิเศษบางอย่างก็ได้

4. เทคนิคพิเศษเพื่อความแห้งไว

เทคนิคพิเศษที่ว่านี้ช่วยยกระดับการจัดการความชื้นไปอีกขั้น มีสองวิธีที่น่าสนใจจากการวิจัยดังกล่าว วิธีแรกคือ "เทคนิคการป้อนด้ายคู่" ซึ่งเป็นการทอผ้าโดยใช้เส้นด้ายสองชนิดแยกกัน ทำให้ผ้าที่ได้มีโครงสร้างที่ช่วยให้น้ำระเหยได้เร็วขึ้นมาก ผลคือผ้าจะแห้งไวเป็นพิเศษ อีกวิธีคือการนำผ้าโพลีเอสเตอร์ไป "เคลือบสารที่ชอบน้ำ" (Hydrophilic Finish) ซึ่งสารตัวนี้จะช่วยเสริมคุณสมบัติให้เส้นใยสามารถดูดซับและลำเลียงเหงื่อออกไปได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การเลือกเสื้อผ้าสักตัวมีรายละเอียดมากกว่าแค่เรื่องของความสวยงาม

การใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสบายตัวชั่วครั้งชั่วคราว แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพผิวในระยะยาว การปล่อยให้ผิวอับชื้นเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาผิวหนังต่างๆ ได้ การเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับกิจกรรมและสภาพอากาศจึงเปรียบเสมือนการป้องกันตัวเองในขั้นพื้นฐาน ซึ่งการป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเสมอ

อ้างอิง

https://www.textileassociationindia.org/post/moisture-management-properties-of-rib-knit-structures-intended-for-next-to-skin-applications

Share this post

Loading...